fbpx
วันศุกร์, พฤษภาคม 17, 2024
หน้าแรกEventsGenius Academy ว่าด้วย Emotional Branding

Genius Academy ว่าด้วย Emotional Branding [Day2]

Genius Academy ในวันที่ 2 กันต่อครับ สาระรีฟจะมาสรุปให้ทุกท่านได้อ่านต่อ ว่าโค๊ชแต่ละท่านวันนี้เขาเอาอะไรมาปล่อยของกันบ้าง ซึ่งเป็นอีกวันที่เรียนแบบหฤโหดเช่นเคย ตั้งแต่เวลา 09.00 – 18.30 ซึ่งเนื้อหาในวันนี้แทบจะ Exclusive ไม่ต่างกับวันแรกเลย สำหรับคนที่เพิ่งมาเห็นข้อความนี้ ก็ไปตามอ่านของวันแรกที่นี้เลยละกันนะครับ

Genius Academy ว่าด้วยเรื่อง DNA & BMC [Day1]

สำหรับวันนี้มีวิทยากรอยู่ 3 ท่านมาปล่อยของกัน ตลอดทั้งวัน พร้อมกิจกรรมต่างๆ ให้ผู้เข้าร่วม 180 กิจการให้ได้มาทำระหว่างเรียน เพื่อสร้างความเข้าใจ และเกิดการต่อยอดให้ได้ดียิ่งขึ้นว่าแล้วจะมีอะไรกันบ้าง เดี๋ยวสาระรีฟ จะมาสรุปให้อ่านกันครับ

ช่วงเช้า (09.00 – 12.00)

Genius Academy โค๊ชเอก Life - สาระรีฟ การตลาดบ้านๆ

สำหรับกิจกรรมตอนเช้าของ Genius Academy Season 3 นี้จะมาเริ่มกับอาจารย์ศรัณญ อยู่คงดี (โค๊ชเอก) ผู้เชี่ยวชาญการออกแบบแบรนด์ เสมือนการการใช้ชีวิต โดยที่โค๊ชเอกเองนั้น ทำธุรกิจเครื่องประดับแบรนด์ SARRAN ของตัวเองอยู่ด้วย

โค๊ชเอกได้เล่าเรื่องที่มาของแบรนด์ตัวเอง โดยนำสิ่งที่ทำมาแชร์กับกิจการ ด้วยจากที่มาชองชื่อแบรนด์ SARRAN นี้มาจากคำว่า สราญ (ความสุช ผ่อนคลาย) อีกทั้งยังเป็นชื่อของโค๊ชเอก อีกด้วย

เนื้อหาที่โค๊ชเอกเอามาแบ่งปันคือ การที่เล่าเรื่องว่า หากเราจะสร้างแบรนด์สักอย่างให้มองว่า แบรนด์ = ชีวิตคู่ ซึ่งก่อนที่เราจะใช้ชีวิตคู่ก็มีเรื่องราวมากมายในช่วงตอนที่คนสองคนเพิ่งรู้จักกัน ทำความรู้จักกัน สนิท และใช้ชีวิตร่วมกัน จนถึงจุดจบของชีวิตคู่ที่ทุกสิ่งย่อมมีอายุขัยของมันอยู่ สิ่งเหล่านั้น สาระรีฟจะมาสรุปว่าเนื้อหาที่โค๊ชเอกมานำเสนอ มีอะไรกันบ้าง

  • Brand – Couple Life ซึ่งส่วนนี้จะบอกถึง การสร้างแบรนด์สักอย่าง ก็เหมือนการเริ่มชีวิตคู่ แปลว่าแบรนด์ก็จะอยู่กับเรา ใช้ชีวิตกับเรา ถ้าเรามีความสุข ชีวิตก็สุขด้วย
  • Find me ส่วนนี้จะเล่าว่าการที่เราจะเริ่มต้นสร้างแบรนด์ เราเริ่มจากอะไร โดยมีอยู่ 3 จุดเริ่มต้น ประกอบด้วย เริ่มจากสิ่งที่ถนัด, ทำจากสิ่งที่ประหลาด และ ทำตามจินตนาการ
  • First Impression เมื่อแต่ละแบรนด์รู้ว่าเริ่มจากอะไร ก็จะไปดูว่า ช่วงแรกทำไมเราถึงหลังรักแบรนด์นี้ ถ้าเทียบก็เหมือนช่วงโปรโมชันที่ตอนเป็นแฟน อะไรก็ไปหมด คราวนี้ก็ต้องดูว่าสิ่งที่เราคิดว่าทุกอย่างดีไปหมด มันดีจริงหรือเปล่า หรือมันอาจจะเป็นแค่อารมณ์ชั่ววูบตอนที่เราหลงรัก
  • Sex หากมองคร่าวๆ อาจจะคิดว่าเป็นเรื่องใต้สะดือ แต่ในอีกความหมายนั้นก็คือ อารมณ์ + ความรัก ทำให้เรามีความรู้สึกดีๆ ดังนั้นเมื่อแบรนด์ที่เป็นชีวิตคู่เรานั้น เราก็จะเริ่มมอบอารมณ์ใส่ไปในแบรนด์ เพื่อให้ลูกค้ารู้สึกถึงอารมณ์แห่งความรักเช่นเดียวกันกับเรา
  • Promise เมื่อเราใส่อารมณ์และความรักไปแล้ว ส่วนนี้ก็จะมาเพิ่มเติมว่า เราจะให้คำสัญญากับชีวิตคู่อย่างไร ซึ่งคำสัญญานี้ ลูกค้าเองจะรับรู้ว่า แบรนด์นี้เขาจะมอบคุณค่าอะไรให้เขานั่นเอง
  • Touch สำหรับส่วนนี้จะเป็นการสัมผัสกับแบรนด์ที่เราสร้างมา โดยจะเริ่มใส่รายละเอียดไปว่า สินค้าหรือบริการนั้น ทำออกมาดีไหม โดยจะต้องไปสัมผัสก่อนที่จะส่งมอบให้ลูกค้าก่อน ซึ่งจะช่วยส่งเสริมคำมั่นสัญญาที่เราให้ลูกค้า ไม่เกิดอาการที่ลูกค้าผิดหวัง
  • Half of my life สิ่งนี้จะช่วยต่อยอดความรู้สึกของชีวิตคู่หรือแบรนด์ว่า เราคาดหวังอะไรที่แบรนด์นี้จะมอบสิ่งที่เราอยากได้ ซึ่งเป็นอีกครึ่งหนึ่งของความรู้สึกที่ได้จากแบรนด์ที่เราทำ ซึ่งอาจจะเป็น หวังแค่ว่าลูกค้าบอกว่าของร้านเราอร่อยมาก แค่นั้นเราก็มีความสุขกับแบรนด์แล้ว เป็นต้น
  • Turning point ในส่วนนี้จะบอกถึง เมื่อเราใช้ชีวิตคู่ไปได้ระยะเวลาหนึ่ง อาจจะถึงเวลาที่ต้องปรับเปลี่ยน ก็เหมือนครอบครัวที่ใหญ่ขึ้น ก็ต้องปรับเปลี่ยนการใช้ชีวิต นั่นหมายถึง แบรนด์เช่นเดียวกัน เราจะไปทางใหนต่อเมื่อเวลาเหล่านั้นเป็นส่วนที่ทำให้เราต้องเปลี่ยนแปลง
  • Our life สิ่งนี้ก็จะมาต่อยอดในส่วนที่ว่า ชีวิตที่เราต้องใช้ร่วมกับคู่ชีวิต เราจะสร้างความอบอุ่นอย่างเรา ที่ตัวเรา และ คู่ชีวิตเรามีความสุข ซึ่งหากเทียบกับแบรนด์ก็อาจจะเป็นถึง ทำยังไงให้ลูกค้าลูกสีกดีกับเราล่ะ เช่น เราจะทำบริการทั้งก่อนขาย และ หลังขายให้ลูกค้าประทับใจทุกครั้งที่เข้ามาใช้บริการ นั่นคือการสร้างให้ชีวิตคู่เรามีความสุขมากขึ้น
  • Last ส่วนสุดท้ายจะบ่งบอกถึง ทุกสรรพสิ่งย่อมมีวันดับสูญ แบรนด์เองก็เช่นเดียวกัน ที่ถึงเวลาหนึ่ง ก็ต้องแยกทางกัน ดั่งชีวิตคู่ที่ต้องแยกทางสักวันใดวันหนึ่ง ซึ่งในมุมของแบรนด์นั่นก็คือ อาจจะขายกิจการ ปิดตัวลงเพราะเทรนด์หมด เป็นต้น

ช่วงบ่าย (13.00 – 16.00)

Genius-Academy-เชฟไก่-เส้นทางไปสู่เชฟชื่อดัง---สาระรีฟ-การตลาดบ้านๆ

กลับมาต่อในช่วงบ่าย จะเป็น Session ที่โค๊ชเอกยังอยู่กับกิจการ แต่เพิ่มเติมคือ เชฟชื่อดังจากรายการ The Iron Chief Thailand ที่เข้าไปแข่งขันทำอาหารในรายการ ซึ่งเชฟคนนั้นที่ โค๊ชเอกให้มาพบกับกิจการทั้ง 180 ท่านก็คือ คุณธนัญญา ไข่แก้ว (เชฟไก่) เชฟผู้ขึ้นชื่อด้านความเชี่ยวชาญด้านการทำขนมหวานชื่อดังของไทย ที่มีร้านอาหารที่มีคนต่อคิวมาก จนถึงขนาดขายไม่พอกันเลยทีเดียว

ท้าวความตอนเริ่มเส้นทางของเชฟไก่กันก่อน เชฟไก่เล่าว่าตอนเริ่มมาทำธุรกิจร้านอาหารของตัวเอง ถ้าสาระรีฟจำไม่ผิด (มีหลุดๆ ไปบ้างตอนฟัง) เหมือนเชฟไก่จะเปิดร้านในห้างก่อน แต่รู้สึกว่ามันไม่เวิรค เลยตัดสินใจด้วยการลองหาสถานที่นอกห้างดู จนได้บ้านหลังนึง ซึ่งแต่เดิมเป็นบ้านที่อยู่อาศัย แต่เชฟไก่ก็ได้เปิดร้านที่ชื่อว่า Souffle And Me ซึ่งเป็นร้านที่อยู่ในซอย แถวๆ BTS ช่องนนทรี ไปตามดูบรรยากาศ ได้ที่นี่

เชฟไก่เล่าว่า ช่วงที่เริ่ม คนไทยนิยมทานขนมญี่ปุ่น ก็เลยเอามาปรับรสชาติโดยเน้นที่ว่า รสชาติต้องมีความเป็นดั้งเดิมจากต้นตำรับ เพื่อรักษาวัฒนธรรมของขนมชิ้นนั้น แปลว่า วัตถุดิบที่ใช้ ก็จะต้องเอามาจากต้นกำเนิด ซึ่งเชฟไก่เล่าว่า ไม่ใช่สินค้าในประเทศไม่ดี แต่รสชาติอาจจะไม่เหมือน เช่น นมวัว ถึงแม้จะนมเหมือนกัน แต่วัวที่ถูกเลี้ยงที่ต่างอุณหภูมิกัน รสชาติที่ได้ก็จะแตกต่างกัน แต่กระนั้นก็ไม่ใช่จะทิ้งวัตถุดิบในประเทศเสียทีเดียว เชฟไก่เองก็มีเมนูที่ต้องใช้วัตถุดิบที่บ้านเราเท่านั้นเหมือนกัน เพราะหากเอาจากที่อื่นยังไงรสชาติก็ไม่ดีเท่าที่บ้านเรา

Genius-Academy-เชฟไก่ Souffle-And-Me-Souffle-and-me-สาระรีฟ การตลาดบ้านๆ

สำหรับร้านอาหารของเชฟไก่ ก่อนช่วงโควิดนั้น เชฟไก่เล่าว่าคนมาใช้บริการเยอะมาก จนบริการไม่ทัน คนก้รอนาน กลัวเขาจะไปว่า จึงได้คิดไอเดีย ด้วยสโลแกนที่ว่า “คุณค่าแห่งการรอ” นั่นหมายถึง เชฟไก่ไม่เลือกจะทำอาหารให้เร็วขึ้น โดยที่ลดรายละเอียดของการทำอาหาร แต่จะทำเหมือนเดิมทุกอย่าง แปลว่า หากอยากกินของอร่อยและดีที่สุด ต้องรอ ถึงจะได้ของที่อร่อย คู่ควรแก่การรอ

ด้วยสโลแกนดังกล่าว จึงเกิดให้เป็นชื่อเสียงของร้าน ลูกค้ายอมรอ ถึงขนาดที่ว่าลูกค้าที่มาใช้บริการ สั่งได้แค่ 6 ชิ้นต่อคนเท่านั้น ไม่มีการขายของก่อนร้านเปิดด้วย เพราะหากถึงเวลา ไม่มีขนมอยู่ในตู้ ก็จะดูไม่ดี ขนมตอนเปิดร้านต้องเต็มเท่านั้น ดังนั้นอยากซื้อก็ต้องรอเวลาเปิดประตูร้านตอน 09.00 น เท่านั้น

ช่วงเย็น (16.00 – 18.00)

Genius Academy โค๊ชคูลต้น Everything Linking Brand - สาระรีฟ การตลาดบ้านๆ

สำหรับหัวข้อสุดท้ายของวันนี้ ก็คงไม่พ้นการสร้างแบรนด์ด้วยอารมณ์อีกเช่นเคย ด้วยอาจารย์เศรษฐา เมธีปราชญางกูร (โค๊ชคูลต้น) ที่มาต่อยอดจากทั้ง 2 ท่าน โดยมาแบ่งปันในหัวข้อ Everything Linking Brand ที่ว่าด้วย เราสามารถเอาแบรนด์ไปผูกกับเรื่องรอบตัวได้ ไม่จำเป็นต้องเอาสินค้าเรามาแสดงเท่านั้น โดยหัวข้อที่โค๊ชคูลต้นมาเล่า จะมีหลากหลาย สาระรีฟจะมาเขียนเป็นหัวข้อสรุปให้ครับ

Olympic ใน ญี่ปุ่น

Genius Academy โค๊ชคูลต้น Olympic - สาระรีฟ การตลาดบ้านๆ

โค๊ชคูลต้นได้เอามาให้ดูว่า ญี่ปุ่น เขาสามารถประชาสัมพันธ์ Olympic โดยเอาการใช้ชีวิตของคนที่นั้นมาประยุกษ์กับกีฬาแต่ละประเภท ลองหาใน Google ก็ได้ครับว่า olympic japan daily life จะเจอรูปเยอะเลยว่า เขาเอา Brand มาผูกกับเรื่องทั่วไป

กฏแห่งการคิดคูณ

ในส่วนนี้จะอธิบายถึง การทำแบรนด์จะต้องใช้สูตร TM x TD = TC ซึ่งความหมายรวมๆ ของสูตรนี้ก็คือ การสร้างแบรนด์นั้น ต้องผ่านการร่วมมือระหว่างกัน จะช่วยต่อยอดให้แบรนด์ไปได้ใกลและเร็วยิ่งขึ้น เช่น ปีโป้ x M150 ทำรสชาติ M150 เป็นต้น ซึ่งสาระรีฟจะมาอธิบายแต่ละตัวแปร ว่าแต่ละตัวมีความหมายอย่างไร

  • TM = Think Multiply
  • TD = Think Different
  • TC = Think Creative

Try Angle โมเดลแห่งการลองดี

สำหรับส่วนนี้จะเป็นการสร้างแบรนด์ที่มีโครงสร้างของโมเดลเป้นสามเหลี่ยม โดยที่แต่ละมุมของ สามเหลี่ยมจะเป็น แต่ละเรื่องที่แบรนด์ควรต้องทำ ซึ่งหากเอาตัวย่อของทั้ง 3 มุมมารวมกันจะได้คำว่า SOS หรือ คำที่จะบอกถึงความช่วยเหลือซึ่งกันและกันแบบเต็มรูปแบบ ซึ่งแต่ละเหลี่ยมสาระรีฟ จะมาอธิบายให้ทุกท่านได้ทราบกันครับ

  • Mindset -> Mind self (ดูใจ) ส่วนนี้จะเป็นการอธิบายว่า การที่เราเปลี่ยนจาก Mindset ซึ่งเป็นสิ่งที่คนอื่นคาดหวัง ให้เป็น Mind self ซึ่งเป็นตัวของเราเอง จะช่วยทำให้เราสามารถสร้าง Original Content ได้ ซึ่งเป็นส่วนที่บ่งบอกถึงความเป็นตัวเราผ่านแบรนด์
  • Society -> Mind society (เห็นใจ) สำหรับส่วนนี้คือการบอกถึง เราจะต้องเห็นอกเห็นใจซึ่งกันและกัน ซึ่งการเห็นใจนั้น จะแบ่งเป็นสองกลุ่มคือ จากภายใน (Internal) ซึ่งเป็นส่วนของการเข้าใจคนในครอบครัว หรือในองค์กรให้เกิดการร่วมมือกันให้มากขึ้น ซึ่งจะส่งไปสู่ ปัจจัยภายนอก (External) ที่ลูกค้าจะรู้สึกถึงความใส่ใจของแบรนด์ที่เราสร้างออกมา
  • Opportunity (วัดใจ) ซึ่งเป็นส่วนหัวของปีระมิด ที่จะว่าด้วย การทำเรื่องที่เป็นไปไม่ได้ (Impossible) ให้เป็นเรื่องที่เป็นไปได้ (I’m possible)

สำหรับทั้ง 3 ส่วนก็จะเข้าสู่ส่วนของ Mind try (ลองใจ) ซึ่งเราจะต้องลงมือทำ สร้างแบรนด์ทีละเล็ก ทีละน้อย จะสามารถเป็นแบรนด์ที่ยิ่งใหญ่ในอนาคตต่อไป ซึ่งสิ่งนี้เป็นสิ่งที่หัวข้อสุดท้ายเอามาให้ความสำคัญในองค์ประกอบของการสร้างแบรนด์

การตรวจสอบตัวเอง

หัวข้อสุดท้ายของวันนี้ ก้จะมาพูดในส่วนของการวัดตัวเองว่าตัวเองมีบุคลิคอย่างไร เพื่อที่จะช่วยในการมองว่า หากเราจะต้องการร่วมมือกันระหว่างแบรนด์ใดแบรนด์หนึ่ง หากเคมีตรงกัน หรือ เข้ากันได้ ก็จะช่วยให้การทำงานราบรื่นยิ่งขึ้น ซึ่งส่วนนี้จะมีคำถาม 15 ข้อในการทดสอบโดยให้เราเลือกสิ่งที่เราเป็นในแต่ละข้อแล้วจดใว้ คำตอบที่ได้ก็จะมาวัดว่าตัวเองเป็นคนประเภทใหน ซึ่งหากเป็นแบรนดื ก็สามารถใช้วิธีวัดผลด้วยวิธีนี้ได้เช่นกัน ซึ่งองค์ประกอบนี้สาระรีฟ จะมาอธิบายให้ทุกท่านเห้นภาพกัน

  • คนประเภทไฟ จะเป็นคนที่พูดตรงๆ คิดเร็ว มั่นใจ กล้าได้ กล้าเสีย
  • คนประเภทน้ำ จะเป็นคนที่เยือกเย็น เรื่อยๆ สบายๆ
  • คนประเภทลม จะเป็นพวกที่พริ่วไหว พูดเก่ง สนุก
  • คนประเภทดิน จะเป็นคนที่ละเอียด คิดรอบคอบ

หัวข้อทั้งหมดที่กล่าวมาทั้งหมดก็จะเป็นหลักสูตรวันที่ 2 ของ GA3 ที่เหล่าโค๊ชทุกท่านมาแบ่งปัน เป็นยังไงกันบ้างครับ เนื้อหาเจ๋งไหม ถ้าคิดว่าเจ๋งปีหน้าเปิดรับสมัคร ก็ลองสมัครกัน ได้ไม่ได้อีกเรื่องหนึ่ แต่การไม่สมัคร คือการที่เราแพ้ตั้งแต่ความคิดเลย ลองดู ไม่มีอะไรให้เสียหายอยู่แล้วครับ สำหรับวันถัดไปมีอะไรอีกบ้าง ก็ติดตามสาระรีฟในเพจ หรือ ตามอ่านในนี้ได้เลยนะครับ เดี๋ยวจะเอามสรุปให้ทุกท่านได้อ่านกัน

ติดตามหัวข้ออื่นๆ ที่น่าสนใจได้ที่นี้ได้ต่อเลยนะครับ

ช่องทางติดตามผลงาน

ติดตามผลงานช่องทางต่างๆ ได้

Facebook: https://www.facebook.com/sararifmkt

Youtube: https://www.youtube.com/channel/UCUt1RPFDIOaFnrogwZHi34Q

Tiktok : https://www.tiktok.com/@sararifmkt

Line : https://lin.ee/3KWTirDxI

Website : https://www.sararif.com

บทความก่อนหน้านี้
บทความถัดไป
Sharif Densumite
Sharif Densumitehttp://www.sararif.com
Chief Executive Officer - Has Order Co, Ltd.
RELATED ARTICLES
- Advertisment -

Most Popular

Recent Comments